ตำนานกล่าวไว้
ได้มีพระอรหันต์คณะหนึ่ง เดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม ขากลับมาพระอริยเจ้า คณะนี้ได้เดินธุดงค์ผ่านหมู่บ้านดอนแก้วเหมือนขาไป
แต่ยังไม่ทันพ้นหมู่บ้าน พระอรหันต์รูปหนึ่ง เกิดอาพาธขึ้นมากะทันหัน
และได้ละสังขารลงที่นี่ พระอรหันต์ที่เดินธุดงค์มาด้วย
จึงช่วยกันจัดการประชุมเพลิง และสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิท่านไว้ เมื่อปี พ.ศ.11 หลังสร้างองค์พระธาตุพนมเสร็จ 3 ปี จากนั้น
เหล่าพระอรหันต์ก็เดินธุดงค์ต่อไป ต่อมาเหตุการณ์บ้านเมืองเกิดความผันผวน
องค์พระเจดีย์ใหญ่ถูกปล่อยทิ้งรกร้างมานาน ขณะนั้น ได้มีพระธุดงค์ชาวเขมรรูปหนึ่ง
ชื่อ “หลวงปู่อุ้ม” เดินธุดงค์ผ่านมาพบองค์พระเจดีย์มีสภาพปรักหักพัง
หมู่บ้านดอนแก้วก็ร้างไม่มีคนอยู่อาศัย “หลวงปู่อุ้ม”
จึงได้ชักชวนชาวบ้านใกล้เคียงช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ ขึ้นมาใหม่
จนมีลักษณะงดงาม เป็นสถานที่หลอมรวมใจของชาวบ้านในปัจจุบัน
นับแต่ ปี พ.ศ.2472 เป็นต้นมา ผู้คนจากชัยภูมิและโคราชได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งในบริเวณบ้าน ดอนแก้วมากขึ้น และมีการปฏิสังขรณ์พระมหาธาตุเจดีย์กันหลายครั้ง เพื่อให้องค์พระธาตุเจดีย์มีความ เข้มแข็งคงทนมากขึ้นกว่าเดิม ครั้งสุดท้ายมีการบูรณะกันอีกในปี พ.ศ.2513
นับแต่ ปี พ.ศ.2472 เป็นต้นมา ผู้คนจากชัยภูมิและโคราชได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งในบริเวณบ้าน ดอนแก้วมากขึ้น และมีการปฏิสังขรณ์พระมหาธาตุเจดีย์กันหลายครั้ง เพื่อให้องค์พระธาตุเจดีย์มีความ เข้มแข็งคงทนมากขึ้นกว่าเดิม ครั้งสุดท้ายมีการบูรณะกันอีกในปี พ.ศ.2513
“ดอนแก้ว” ชุมชนโบราณแห่งนี้
มีลักษณะคล้ายกับเมืองโบราณสมัยทวาราวดีโดยทั่ว ๆ ไป
ที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบตัวเมือง และมีศาสนสถานที่สำคัญอยู่ คือ พระมหาธาตุเจดีย์
นอกจากนี้ยังมี กลุ่มใบเสมาปักรอบ
ๆ ตามคดีนิยม เพื่อแสดงเขตสถานศักดิ์สิทธิ์ คล้าย ๆ กับการปักใบเสมา “เมืองฟ้า ดาดสูงยาง” อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์
เยื้ององค์พระธาตุไปทางทิศตะวันตกจะพบเห็นภาพสลัก เป็นลวดลายธรรมชาติบางส่วนและจารึกภาษามอญที่มีสภาพลบเลือนไปมากแล้วอีกบางส่วน
จากสิ่งที่กล่าวมาแล้วพอจะชี้ให้เห็นว่า ชุมชนโบราณบ้านดอนแก้วนั้นมีประวัติความเป็นมาแสนยาวนาน
ถึงแม้จะมีการสับเปลี่ยนของกลุ่มผู้คนที่เข้ามาอาศัยอยู่เป็นช่วง ๆ
จนไม่สามารถสืบสานความ เป็นมาอย่างต่อเนื่องจากปากสู่ปากได้
แต่ในด้านแหล่งโบราณคดีที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ก็เป็นสิ่งยืนยัน ถึงความสำคัญและความอุดมสมบูรณ์ของท้องถิ่นแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
ในปี พ.ศ.2513 นักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมี นายไพโรจน์ อังสนากุล เป็น ผู้นำได้พากันมาตรวจสอบอายุของใบเสมาและเสาหิน ตลอดทั้งองค์พระธาตุเจดีย์ ในที่สุดนักศึกษาคณะ โบราณคดีก็ชี้ออกมาว่า ศิลปกรรมดังกล่าวมีอายุไม่น้อยกว่า 1,500 ปี ต่อมาในปี พ.ศ.2532 กรมศิลปากรได้มาปักหมุดรอบองค์พระมหาธาตุเจดีย์ และปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็น “โบราณสถานแห่งชาติ” ไว้แล้ว นอกจากนั้น การค้นคว้าหาหลักฐานของคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และสถาบันราชภัฏอุดรธานี พร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณสถาน ก็ได้เข้าไปศึกษาค้นคว้าอีกหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในยุคต่อมาต้องเข้าไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลกันต่อไปอีกเพราะ
ศิลปกรรมดังกล่าวล้วนแล้วแต่น่าศึกษาอย่ายิ่ง
“พระมหาธาตุเจดีย์” หรือชื่อเรียกที่คุ้นหูของคนทั่วไปว่า “พระธาตุดอนแก้ว” นั้น ประดิษฐานอยู่ กลางวัดมหาธาตุเจดีย์ บ้านดอนแก้ว หมู่ที่ 5 ตำบลกุมภวาปี อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เป็นเจดีย์ ลักษณะทรงสี่เหลี่ยมคล้ายพระธาตุพนม สูงประมาณ 18 วา ด้านทิศเหนือและทิศใต้ กว้าง 6 วา 2 ศอก ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก กว้าง 6 วาเศษ มีบันไดขึ้นลง 2 ด้าน คือ ด้านทิศตะวันออกและ ด้านทิศตะวันตก องค์พระธาตุมีลักษณะการสร้าง 2 ชั้น แต่ละชั้นมีภาพสลักเกี่ยวกับพุทธประวัติเรื่องนรก-สวรรค์ วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นหินทรายรูปทรงสี่เหลี่ยม ยาวประมาณ 1 ศอก รอบนอกฉาบด้วยปูน สันนิษฐาน ว่า คงเป็นการซ่อมแซมในภายหลัง รอบองค์พระธาตุเจดีย์มีใบเสมาและเสาหินตั้งอยู่ทั้ง 8 ทิศ มีลักษณะ 8 เหลี่ยมบ้าง แบนบ้าง สูง ตั้งแต่ 2-4 เมตร ปัจจุบันศิลปกรรมเหล่านี้ตั้งอยู่ห่างองค์พระธาตุเจดีย์ 15-20 เส้น ซึ่งก็ยังปรากฏอยู่ทั้ง ภายในและภายนอกวัด เข้าใจว่าเสาหินเหล่านี้คงเป็นเขตวัดหรือเขตเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งในยุคก่อนโน้น แต่เสาหินเหล่านี้ได้ชี้ชัดลงไปให้เห็นว่า ในยุคก่อนโน้นชุมชนแห่งนี้ต้องมีความเจริญรุ่งเรืองมาก และเป็นธรรมดาอยู่เองเมื่อวัดและบ้านมีความเจริญ ย่อมจะมีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และเรื่องนี้อาจจะ โยงไปผูกพันกับ “หนองหาน” อันเป็นที่มาของ “ผาแดง-นางไอ่” อมตะนิทานพื้นบ้านอีสานก็เป็นไป นักโบราณคดีบางคนสันนิษฐานว่า พระธาตุดอนแก้ว ตลอดทั้งใบเสมาและเสาหินที่ปรากฏอยู่นั้น สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 11-13 หรือประมาณ ปี พ.ศ.1100-1300 เพราะวัสดุที่ใช้ก่อสร้างเป็นหิน ทราย รวมทั้งภาพแกะสลักก็เป็นช่างในสมัยทวาราวดีตอนปลายสมัย ลพบุรีตอนต้น จึงแสดงว่า ศิลปกรรม เหล่านี้มีมาก่อนปราสาทหินพิมาย ปราสาทเขาพนมรุ้ง หรือแม้แต่ปราสาทเขาพระวิหาร โดยมีทั้งตำนาน และหลักฐานอ้างอิงจารึกไว้เพราะดูจากสภาพภูมิประเทศแล้ว หมู่บ้านดอนแก้วแห่งนี้ ไม่มีแหล่งหินทรายที่ ใช้ในการก่อสร้างเลย ผู้สร้างเอามาจากที่ใด เอามาได้อย่างไร ย่อมเป็นเรื่องที่อนุชนรุ่นหลังต้องศึกษา ค้นคว้าหาคำตอบให้ได้ นอกจากนั้นคนรุ่นหลังก็ควรหวงแหนและอนุรักษ์ศิลปกรรมอันล้ำค่าต่อไปอีกนาน เท่านาน
ในปี พ.ศ.2513 นักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมี นายไพโรจน์ อังสนากุล เป็น ผู้นำได้พากันมาตรวจสอบอายุของใบเสมาและเสาหิน ตลอดทั้งองค์พระธาตุเจดีย์ ในที่สุดนักศึกษาคณะ โบราณคดีก็ชี้ออกมาว่า ศิลปกรรมดังกล่าวมีอายุไม่น้อยกว่า 1,500 ปี ต่อมาในปี พ.ศ.2532 กรมศิลปากรได้มาปักหมุดรอบองค์พระมหาธาตุเจดีย์ และปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็น “โบราณสถานแห่งชาติ” ไว้แล้ว นอกจากนั้น การค้นคว้าหาหลักฐานของคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และสถาบันราชภัฏอุดรธานี พร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณสถาน ก็ได้เข้าไปศึกษาค้นคว้าอีกหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในยุคต่อมาต้องเข้าไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลกันต่อไปอีกเพราะ
ศิลปกรรมดังกล่าวล้วนแล้วแต่น่าศึกษาอย่ายิ่ง
“พระมหาธาตุเจดีย์” หรือชื่อเรียกที่คุ้นหูของคนทั่วไปว่า “พระธาตุดอนแก้ว” นั้น ประดิษฐานอยู่ กลางวัดมหาธาตุเจดีย์ บ้านดอนแก้ว หมู่ที่ 5 ตำบลกุมภวาปี อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เป็นเจดีย์ ลักษณะทรงสี่เหลี่ยมคล้ายพระธาตุพนม สูงประมาณ 18 วา ด้านทิศเหนือและทิศใต้ กว้าง 6 วา 2 ศอก ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก กว้าง 6 วาเศษ มีบันไดขึ้นลง 2 ด้าน คือ ด้านทิศตะวันออกและ ด้านทิศตะวันตก องค์พระธาตุมีลักษณะการสร้าง 2 ชั้น แต่ละชั้นมีภาพสลักเกี่ยวกับพุทธประวัติเรื่องนรก-สวรรค์ วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นหินทรายรูปทรงสี่เหลี่ยม ยาวประมาณ 1 ศอก รอบนอกฉาบด้วยปูน สันนิษฐาน ว่า คงเป็นการซ่อมแซมในภายหลัง รอบองค์พระธาตุเจดีย์มีใบเสมาและเสาหินตั้งอยู่ทั้ง 8 ทิศ มีลักษณะ 8 เหลี่ยมบ้าง แบนบ้าง สูง ตั้งแต่ 2-4 เมตร ปัจจุบันศิลปกรรมเหล่านี้ตั้งอยู่ห่างองค์พระธาตุเจดีย์ 15-20 เส้น ซึ่งก็ยังปรากฏอยู่ทั้ง ภายในและภายนอกวัด เข้าใจว่าเสาหินเหล่านี้คงเป็นเขตวัดหรือเขตเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งในยุคก่อนโน้น แต่เสาหินเหล่านี้ได้ชี้ชัดลงไปให้เห็นว่า ในยุคก่อนโน้นชุมชนแห่งนี้ต้องมีความเจริญรุ่งเรืองมาก และเป็นธรรมดาอยู่เองเมื่อวัดและบ้านมีความเจริญ ย่อมจะมีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และเรื่องนี้อาจจะ โยงไปผูกพันกับ “หนองหาน” อันเป็นที่มาของ “ผาแดง-นางไอ่” อมตะนิทานพื้นบ้านอีสานก็เป็นไป นักโบราณคดีบางคนสันนิษฐานว่า พระธาตุดอนแก้ว ตลอดทั้งใบเสมาและเสาหินที่ปรากฏอยู่นั้น สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 11-13 หรือประมาณ ปี พ.ศ.1100-1300 เพราะวัสดุที่ใช้ก่อสร้างเป็นหิน ทราย รวมทั้งภาพแกะสลักก็เป็นช่างในสมัยทวาราวดีตอนปลายสมัย ลพบุรีตอนต้น จึงแสดงว่า ศิลปกรรม เหล่านี้มีมาก่อนปราสาทหินพิมาย ปราสาทเขาพนมรุ้ง หรือแม้แต่ปราสาทเขาพระวิหาร โดยมีทั้งตำนาน และหลักฐานอ้างอิงจารึกไว้เพราะดูจากสภาพภูมิประเทศแล้ว หมู่บ้านดอนแก้วแห่งนี้ ไม่มีแหล่งหินทรายที่ ใช้ในการก่อสร้างเลย ผู้สร้างเอามาจากที่ใด เอามาได้อย่างไร ย่อมเป็นเรื่องที่อนุชนรุ่นหลังต้องศึกษา ค้นคว้าหาคำตอบให้ได้ นอกจากนั้นคนรุ่นหลังก็ควรหวงแหนและอนุรักษ์ศิลปกรรมอันล้ำค่าต่อไปอีกนาน เท่านาน
ปัจจุบันเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุเจดีย์บ้านดอนแก้ว
คือ พระครูโสภณจริยาทร ( เจ้าคณะอำเภอกุมภวาปี-ประจักษ์ศิลปาคม (ธ) )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น